JOA SEDTARUJI
"ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีพระเจ้า"
16.11.12
ธรรมทูตตอนหนึ่ง
ธรรมทูตคืออะไร? บางคนคิดว่าธรรมทูตเป็นแค่คนที่เดินไปทุกที่เพื่อสอนศาสนา บางคนมองเป็นพวกไม่ทำอะไรเลย บางคนก็มองธรรมทูตผู้ที่ช่วยสร้างสังคมใหม่ ข้าพเจ้าเคยเจอ บางคนเห็นพระสงฆ์ ฆราวาสคาทอลิกก็รีบเดินหนี สมาชิกพระศาสนาจักรบางทีก็ตกอยู่ในบรรยากาศ "ขาดงานทำกระทันหัน" นึกแล้วก็น่าหัวเราะดี บางทีก็ทำให้คิดนะว่าบางทีความคิดของคนไทยเกี่ยวกับศาสนาเราอาจจะยังเข้าใจอะไรผิด พวกเราก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างทีคิด (สังเกตพ่อฝรั่งเราสิ ออกจะดูใจดี) อีกใจหนึ่งก็คิดว่าพระองค์ต้องการให้พวกเขามาพบเราในเวลาที่พระองค์กำหนดไว้ ทุกอย่างเลยเป็นเรื่องของพระจิต
คำว่า"ธรรมทูต" นอกจากจะมีความหมายถึงกลุ่มคนที่ทำงานให้พระแล้ว อีกนัยหนึ่งที่สำคัญและตรงกันทั้งฆราวาสและพระสงฆ์คือ "ผู้ทำทุกอย่างตามน้ำพระทัย" "โดยทางศีลล้างบาปทำให้ทั้งฆราวาสและพระสงฆ์เป็นหนึ่งเดียวกันในการเป็นประจักษ์พยาน เป็นภาพฉายาลักษณ์ของพระเจ้าและเป็นผู้ร่วมพันธกิจแห่งการประกาศข่าวดี"
โดยความเป็นจริงแล้ว คริสตชนมักจะฝากความหวังและหน้าที่รับผิดชอบไว้ที่พระสงฆ์ อาจจะคิดว่า หนึ่ง เป็นหน้าที่ของท่าน สอง กลัวจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนอื่น (เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอ) สาม กลัวว่าจะตอบคำถามมากมายที่คนต่างศาสนาถาม กลุ่มคนที่คนต่างศาสนาเรียกว่าเป็น "ลูกของพระเจ้า" เปรียบดั่งกระจกสะท้อนความรักของพระเจ้า หากกระจกบานนั้นไม่สามารถสะท้อนภาพลักษณ์ของเจ้าของๆมันได้ เราก็ไม่ควรเรียกสิ่งนั้นว่ากระจก เช่นเดียวกันเราก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่า "ฉันคือลูกของพระเจ้า" เพราะไม่ได้เป็นดั่งกระจกสะท้อนความรักของพระองค์ให้ผู้อื่นได้เห็น
ธรรมทูตต้องรักพระเจ้าอย่างแท้จริงนอกจากตำแหน่งธรรมทูตจะเป็นอะไรที่ต้องเหนื่อยและเสียสละเป็นอย่างมากแล้ว ก็ยังเป็นอะไรที่จะต้องระวังปีศาจที่จะมาผจญอยู่ตลอดเวลาทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายกาย สิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับฝ่ายจิตมากคือ "ความหลง" ส่วนฝ่ายกายคือ "ความรัก" ไม่ใช่รักอะไรเลย รักความสะดวกสบายและรักความสวยงาม ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องนี้ ส่วนความหลงก็มีหลายหลง ยกตัวอย่างเช่น "หลงในเงินทอง" ธรรมทูตบางคนตื่นมาในตอนเช้าพร้อมกับความคิดแรก "วันนี้ฉันจะทำรายได้ได้เท่าไหร่?" ฟังแล้วปวดใจแทน จริงๆแล้วเงินมันก็เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งของพระ มีความจำเป็นก็จริง แต่ก็น้อยถ้าเทียบกับงานประกาศข่าวดี ให้เราระลึกไว้เสมอว่า เมื่อใดที่เห็นเงินมีค่ามากกว่าพระเจ้า วันนั้นเรากำลังตกเป็นทาสของปีศาจและกำลังอยู่ห่างจากพระเจ้า บทสวดในใจเดิมๆของเราอาจจะเปลี่ยนไปตามความคิดเรา "เปลี่ยนใจแล้ว" จากที่สวด "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง..." ในวันนั้นเราคงจะสวดว่า "ข้าแต่เงินตราที่ข้าพเจ้าหามาได้ ความฝันหนึ่งเดียวของข้าในสวรรค์ ดอลลาร์ยูโรจงเป็นที่สักการะ ทรัพย์สินนาๆจงมาถึง..." ข้าพเจ้าได้แต่คิดว่าคงไม่มีใครเป็นแบบนี้ ถามตัวเองดู "ฉันเป็นธรรมทูตเพื่ออะไร?" เจ้านายของเราคือพระไม่ใช่เงินทองของโลก ไม่มีที่รับใช้ทั้งเงินทองทั้งพระเจ้าในเวลาเดียวกันได้ ในพระธรรมมัทธิว 6:24 กล่าวว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะว่าเขาจะชังนายข้างหนึ่งและรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้”
กีรติ เศรษฐรุจิ ธรรมทูตน้อย
03.10.12
อำลาอาสนวิหารหลังเก่า 28 ก.ย. 2012
เวลา 19.00 น. พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณอำลาอาสนวิหารราฟาเอล หลังเก่า โดย พระสังฆราช โยเซฟ ประธาน ศรีดารุณศีล เป็นประธานร่วมกับ พระอัครสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช พระอัครสังฆราช หลุยส์ จำเนียร สันติสุขนิรันดร์ พระสังฆราช ฟิลิป บรรจง ไชยรา พระสังฆราช ยอห์น บอสโก ปัญญา กฤษเจริญ พระสังฆราช ยอแซฟ ชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ พระสังฆราชจากเมียนมาร์ และพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง
เสกปังและเหล้าองุ่นพร้อมกันกับพระคุณเจ้าเกรียงศักดิ์
ขึ้นกล่าวให้โวาทและเทศน์
"จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเรา'
นี่คือกายของพระองค์
นี่คือพระโลหิตแห่งพันธะสัญญาใหม่อันยืนยง
ปิดท้ายด้วยพระจากพระคุณเจ้า
06.01.12
พลังแห่งความเชื่อ กับ สังคมบริโภคนิยม
แปลกใจไหม ถ้าจะบอกว่า ในสองปีที่ผ่านมา นักร้องยอดนิยมอันดับหนึ่งของประเทศบราซิลเป็นบาทหลวงของศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก (!) แล้วจะแปลกใจอีกไหมว่า ในขณะที่ยอดขายซีดีของค่ายเพลงทั่วโลกกำลังตกต่ำ เพราะการอาละวาดของแผ่นผีซีดีเถื่อน แต่กับเพลงศาสนา หรือ Gospel Music ในบราซิลนั้น …นี่เป็นข้อยกเว้น
“ฟาเธอร์ VS ซุปเปอร์สตาร์”
Brazil’s Association of Record Producers รายงานข้อมูลสรุปในปีค.ศ. 2009 ที่ผ่านมาว่า อัลบั้ม3 อันดับท้อปฮิตของบราซิลนั้น เป็นอัลบั้มของบาทหลวง 3 ท่าน ซึ่งอันดับหนึ่งคือ อัลบัม “Vida” ของคุณพ่อ ฟาบิโอ เดอ เมโล (Father Fabio de Melo) ซึ่งขายดีมาตั้งแต่ปี 2008 และยังคงแรงไม่มีตก ส่วนอีก 2 ท่านคือ คุณพ่อมาร์เซโล รอซซี่ (Father Marcelo Rossi) ซุปเปอร์สตาร์ที่ดังมานานก่อนหน้ามียอดขายตามมาเป็นอันดับสอง และต่อด้วยบาทหลวงนักร้องหน้าใหม่ คุณพ่อเรจินาลโด มานซอตติ (Father Reginaldo Manzotti) ซึ่งมีอัลบัมติดชาร์ท Top Ten แห่งปี
บาทหลวงนักร้อง 3 ท่านนี้มีสไตล์แตกต่างกันชัดเจน คุณพ่อ เดอ เมโล จะออกจะแนวป๊อบ ในขณะที่คุณพ่อมานซอตติจะเน้นแนวศาสนา (และจะแสดงในชุดบาทหลวงเสมอ) ส่วนคุณพ่อรอซซี่นั้นจะทำงานทั้งสองแนว โดยนอกจากเสียงร้องและดนตรีอันไพเราะแล้ว คุณพ่อทั้ง 3 ยังไม่ละเลยศาสนกิจสำคัญ นั่นก็คือ การเทศน์ยกระดับจิตใจให้กับผู้ฟังด้วย ในเรื่องรายได้จากการขายซีดีเพลงนั้น คุณพ่อทั้งสามมอบให้แก่โบสถ์ทั้งหมด ส่วนรายได้จากโชว์ต่างๆ ก็จะเป็นของค่ายเพลงตามสัดส่วนที่ได้เซ็นสัญญากันไว้
จะว่าไปแล้ว “นักร้องบาทหลวง” นั้นไม่ใช่ของใหม่ในประเทศบราซิลและประเทศในแถบอเมริกาใต้ (เพราะประชาชนเขามีศรัทธาแรงกล้าต่อศาสนาคริสต์) แต่ที่ “บาทหลวงนักร้อง” เพิ่งมาดังสุดๆ ในยุคนี้ เป็นเพราะพลังของการสร้างแบรนด์ผ่านสื่อสมัยใหม่อย่าง Facebook และ Twitter ซึ่งทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปถึงสื่อมวลชนอย่างวิทยุและโทรทัศน์ด้วยนั่นเอง
ศรัทธา “ฆ่า” ของเถื่อน
ในขณะที่แผ่นผีกำลังตีตลาดซีดีทั่วโลกจนดิ่งลงเหว ซีดีเพลงศาสนาในบราซิลกลับมิเคยได้รับผลกระทบนี้แม้แต่น้อย จนผู้ศรัทธาสายแข็งบางส่วนคิดกระทั่งว่า พระเจ้าทรงยื่นหัตถ์มาจัดการกระตุ้นยอดขายเพลงสรรเสริญพระองค์เองด้วยซ้ำ แต่เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร หลายคนสรุปว่า …มันน่าจะอยู่ที่ “ศรัทธา” แท้ๆ ของฝ่ายผู้บริโภคเองนั่นแหละ
“คนไม่อยากซื้อสินค้าหรือซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าสินค้านั้นเกี่ยวข้องกับศาสนา” เลโอนาร์โด กาเน็ม (Leonardo Ganem) ประธานของ Som Livre ค่ายเพลงอินดี้ (ที่ออกอัลบั้มเพลงศาสนาของบาทหลวงทั้งสาม) กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
แรกทีเดียวนั้น เลโอนาร์โดตั้งเป้ายอดขายอัลบัม Vida ซึ่งเป็นอัลบัมแรกของคุณพ่อเดอ เมโลไว้ที่ 50,000 แผ่น แต่ปรากฏว่า ยอดขายวิ่งทะลุเป้าไปถึง 1,000,000 แผ่นเลยทีเดียว ปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่ก้าวข้ามเหตุผลทางการตลาดนี้ ทำให้ โซนี่ มิวสิค บราซิล มองเห็นศักยภาพอันแข็งแกร่งของ “ศรัทธา” จนถึงกับเปิดแผนกดนตรีศาสนาขึ้นเองเมื่อต้นปีนี้ และกำลังเตรียมผลิตผลงานเพลงศาสนาออกมาไม่เฉพาะแต่ในรูปของซีดีเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงสื่อดิจิตอลและโทรศัพท์มือถืออีกด้วย (ซึ่งถือว่า เป็นครั้งแรกของเพลงศาสนาที่จะออกขายในรูปแบบดิจิตอล)
ผู้นำทางใจ : ไอดอลใหม่ของสังคม
ฟากฝั่งเมืองไทย ศาสนาพุทธมีข้อห้ามมิให้พระสงฆ์ร้องเพลงหรือเสพมหรสพ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีพระสงฆ์นักร้องขึ้นชาร์ท Top Ten แต่ถึงกระนั้นก็เกิดปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่พอจะเทียบเคียงกันได้ นั่นคือ “มุมหนังสือธรรมะ” ที่ขึ้นอันดับ Best Seller จนสำนักพิมพ์ต่างๆ ตาลุกวาว หันมาเปิดแผนกหนังสือ “ธรรมะและสุขภาพจิต” กันเป็นทิวแถว แถมโผ “ไอดอลใหม่” ของสังคมไทยก็มีชื่อพระนักเทศน์หลายท่าน (ที่ออกสื่อจนโด่งดัง) วิ่งขึ้นแท่นไปกับเขาด้วย พระสงฆ์เหล่านี้ได้ป้อนธรรมะที่ขัดเกลาเข้ากับจริตชนชั้นกลาง (ซึ่งเป็นตัวแทนของสังคมบริโภคนิยม) หลายท่านมีหนังสือธรรมะขายดี หลายท่านก็เทศน์ประจำในรายการวิทยุและโทรทัศน์ และอีกหลายท่านนั้นถึงกับมีแฟนประจำใน facebook และ twitter เลยทีเดียว
ในสังคมยุคใหม่ที่วุ่นวาย ปรากฏการณ์เช่นนี้อาจมีที่มาจาก “การแสวงหาที่พึ่งทางใจ” ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกแบบไหน จะเลือกเสพในฝั่งของพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำบัตรประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ หรือจะเลือกพึ่งพาเรื่องเหนือธรรมชาติ (ที่อิงอยู่กับศาสนา) ก็สุดจะแล้วแต่ เพราะจากที่สังเกตบนชั้น “หนังสือขายดี” ทุกวันนี้ ก็มีหนังสือแนวตัดกรรม พลังจิต ไสยศาสตร์ และหมอดูชื่อแปลกๆ ขึ้นแท่นมาตีคู่กับหนังสือธรรมะ ชนิดเข่นกันไม่ลง ท้ายที่สุดแล้ว แม้ศาสนาและความเชื่อจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลประโยชน์ก็ตาม แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สำหรับสังคมที่ต้องการการเยียวยาอย่างทุกวันนี้ นี่เป็นอีกตลาดหนึ่งที่ “โอกาสเปิดกว้างเหลือเกิน”
อ้างอิง:
http://www.reuters.com/article/idUSTRE64S06T20100529
ตัวอย่างวิดีโอผลงานดนตรีของบาทหลวง:
http://www.youtube.com/watch?v=phEIAkniqC0&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=JvEvkvh9O50&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=bKaLJxR3nVo
เครดิตภาพ:
http://forum.bigbotherbrasil.net/bate-papo-f1/oi-minks-t24-180.htm http://meegadown.wordpress.com/2009/03/14/padre-marcelo-rossi-minha-bencao/ http://www.paulinia.sp.gov.br/noticias.aspx?ID=35
http://moralyluces.wordpress.com/2009/05/18/evangelizando-en-la-web/fichero_18742_20090518/ http://rocristao.blogspot.com/2009/01/baixa-os-cds-do-padre-marcelo-rossi-paz.html http://rocristao.blogspot.com/2009/01/baixe-o-cd-do-padre-reginaldo-manzotti.html http://www.padrereginaldomanzotti.org.br/midia/client/Minhas%20Fotos/image/Digitalizar0001.JPG
From http://article.tcdcconnect.com/ideas/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%AA%E0%B8%B1
05.01.12
The Year of Faith.
A Summons to Conversion
Pope Benedict XVI has called for a special "Year of Faith" to be celebrated from October 2012 through November 2013. He made the announcement yesterday in Rome.
October 2012 is the 50th anniversary of the opening of the Second Vatican Council on October 11, 1962.
The announcement was made in a "Motu Proprio" entitled "Porta Fidei" ("The Door of Faith").
Benedict is calling for this "Year of Faith," he says, as a way to summon all Catholics to a renewed conversion to the Lord Jesus Christ, the one Savior of the world.
The essence of the Pope's thinking is in the following lines. In the lines, cited below, Benedict is speaking of the loss in the West, and in the world generally, of a deep Christian culture in which the faith and its anthropological presuppositions are simply cultural "givens." In such a world, now seemingly lost, ideas and concepts like sin, repentance, forgiveness, sacrifice, penance, soul, grace, eternal life, blessedness, holiness, are the very air each person born into those cultures breathes. But the world has changed, the very air has changed, and such words and concepts are now all but worn out, to the point, almost, of meaninglessness. (I am speaking of the wider, secularized culture, not of the life and culture of vibrant Catholic and Christian enclaves.)
Benedict writes:
"Whereas in the past it was possible to recognize a unitary cultural matrix, broadly accepted in its appeal to the content of the faith and the values inspired by it, today this no longer seems to be the case in large swathes of society, because of a profound crisis of faith that has affected many people."
Benedict is intent on combatting this cultural shift, this shift in the intellectual-spiritual air we breathe, in the ideas that inform our understanding of our lives.
"We cannot accept that salt should become tasteless or the light be kept hidden (cf. Mt 5:13-16)," Benedict proclaims.
"The people of today can still experience the need to go to the well, like the Samaritan woman, in order to hear Jesus, who invites us to believe in him and to draw upon the source of living water welling up within him (cf. Jn 4:14).
"We must rediscover a taste for feeding ourselves on the word of God, faithfully handed down by the Church, and on the bread of life, offered as sustenance for his disciples (cf. Jn 6:51)."
So what is Benedict really saying? He is saying that, during this upcoming "Year of Faith," Catholics should engage in a profound cultural-religious effort to renew their faith, to deepen their understanding of that faith, and to share that faith with others, not only in actual teaching, but also through exemplary actions of Christian charity.
"Believers strengthen themselves by believing"
Perhaps the key to the Pope's vision lies in the following very beautiful lines, drawn from St. Augustine:
"Believers, so Saint Augustine tells us, 'strengthen themselves by believing'...
"Only through believing, then, does faith grow and become stronger; there is no other possibility for possessing certitude with regard to one’s life apart from self-abandonment, in a continuous crescendo, into the hands of a love that seems to grow constantly because it has its origin in God."
In these remarkable lines, the Pope is compressing several profound concepts difficult to unravel and fully explain in a brief space.
What Benedict is touching on is the mysterious dynamic of faith.
In this dynamic, faith transforms into existential certitude due to self-abandonment.
The paradox is here. It is that "the way down is the way up"... It is that the way to truly become yourself is to forget about yourself completely... It is that the way to find true love is to cease entirely to look and strive for it, but simply to receive it as a freely-given gift, coming ultimately from a divine source beyond all space, time, and shadow of turning.
In calling this special "Year of Faith," then, Pope Benedict is calling on all Catholics to rediscover the "door of faith" which is soul-transforming, like one of those doorways in C. S. Lewis's Narnia tales, which starts in one world and ends in another, and all that it takes to go between the two worlds is a single step...
What the Pope is saying is that faith can be a doorway that enables us to be inwardly transformed in such a way that all the things of earth, all the things of this world, fall away, and all that remains is eternal blessedness, beyond all the vicissitudes of this world, even here and now, even while we remain here, because we have already become citizens of that better, promised, land.
And this was precisely the attitude of St. Ignatius of Antioch, the great saint who was brought to Rome from Antioch and thrown to the lions in the arena, meeting his death as a martyr, a witness, to this faith, whose feast we celebrate today.
St. Ignatius of Antioch: October 17
"I prefer death in Christ Jesus to power over the farthest limits of the earth."
The second bishop of Antioch in Syria, Ignatius was the disciple of St. John the Evangelist.
In 107, during the reign of the Emperor Trajan, Ignatius was sentenced to death because he refused to renounce the Christian faith and taken under guard to Rome. During his journey, he wrote seven letters of instruction and inspiration. (It was Ignatius who in these letters first used the term “catholic” to describe the whole Church.)
He wrote in his Letter to the Romans:
“No earthly pleasures, no kingdoms of this world can benefit me in any way. I prefer death in Christ Jesus to power over the farthest limits of the earth. He who died in place of us is the one object of my quest. He who rose for our sakes is my one desire.
"The time for my birth is close at hand. Forgive me, my brothers. Do not stand in the way of my birth to real life; do not wish me stillborn. My desire is to belong to God. Do not, then, hand me back to the world. Do not try to tempt me with material things. Let me attain pure light. Only on my arrival there can I be fully a human being. Give me the privilege of imitating the passion of my God...
"The prince of this world is determined to lay hold of me and to undermine my will which is intent on God. Let none of you here help him... Do not talk about Jesus Christ as long as you love this world...
"And supposing I should see you, if then I should beg you to intervene on my behalf, do not believe what I say. Believe instead what I am now writing to you. For though I am alive as I write to you -- still -- my real desire is to die. My love of this life has been crucified, and there is no yearning in me for any earthly thing... I no longer take pleasure in perishable food or in the delights of this world. I want only God’s bread, which is the flesh of Jesus Christ, formed of the seed of David, and for drink I crave his blood, which is love that cannot perish."
(Link: http://www.catholic.org/saints/sofd.php)
====================
Full text of the Apostolic Letter "Porta Fidei" ("The Door of Faith")
.
Apostolic Letter “Motu Proprio data”
Porta Fidei
of the Supreme Pontiff Benedict XVI
for the Indiction of the Year of Faith
By Pope Benedict XVI
The “door of faith” (Acts 14:27) is always open for us, ushering us into the life of communion with God and offering entry into his Church.
It is possible to cross that threshold when the word of God is proclaimed and the heart allows itself to be shaped by transforming grace.
To enter through that door is to set out on a journey that lasts a lifetime. It begins with baptism (cf. Rom 6:4), through which we can address God as Father, and it ends with the passage through death to eternal life, fruit of the resurrection of the Lord Jesus, whose will it was, by the gift of the Holy Spirit, to draw those who believe in him into his own glory (cf. Jn 17:22).
To profess faith in the Trinity – Father, Son and Holy Spirit – is to believe in one God who is Love (cf. 1 Jn 4:8): the Father, who in the fullness of time sent his Son for our salvation; Jesus Christ, who in the mystery of his death and resurrection redeemed the world; the Holy Spirit, who leads the Church across the centuries as we await the Lord’s glorious return.
Ever since the start of my ministry as Successor of Peter, I have spoken of the need to rediscover the journey of faith so as to shed ever clearer light on the joy and renewed enthusiasm of the encounter with Christ. During the homily at the Mass marking the inauguration of my pontificate I said: “The Church as a whole and all her Pastors, like Christ, must set out to lead people out of the desert, towards the place of life, towards friendship with the Son of God, towards the One who gives us life, and life in abundance.”
It often happens that Christians are more concerned for the social, cultural and political consequences of their commitment, continuing to think of the faith as a self-evident presupposition for life in society. In reality, not only can this presupposition no longer be taken for granted, but it is often openly denied.
Whereas in the past it was possible to recognize a unitary cultural matrix, broadly accepted in its appeal to the content of the faith and the values inspired by it, today this no longer seems to be the case in large swathes of society, because of a profound crisis of faith that has affected many people.
We cannot accept that salt should become tasteless or the light be kept hidden (cf. Mt 5:13-16). The people of today can still experience the need to go to the well, like the Samaritan woman, in order to hear Jesus, who invites us to believe in him and to draw upon the source of living water welling up within him (cf. Jn 4:14). We must rediscover a taste for feeding ourselves on the word of God, faithfully handed down by the Church, and on the bread of life, offered as sustenance for his disciples (cf. Jn 6:51).
Indeed, the teaching of Jesus still resounds in our day with the same power: “Do not labour for the food which perishes, but for the food which endures to eternal life” (Jn 6:27). The question posed by his listeners is the same that we ask today: “What must we do, to be doing the works of God?” (Jn 6:28). We know Jesus’ reply: “This is the work of God, that you believe in him whom he has sent” (Jn 6:29). Belief in Jesus Christ, then, is the way to arrive definitively at salvation.
In the light of all this, I have decided to announce a Year of Faith. It will begin on 11 October 2012, the fiftieth anniversary of the opening of the Second Vatican Council, and it will end on the Solemnity of Our Lord Jesus Christ, Universal King, on 24 November 2013.
The starting date of 11 October 2012 also marks the twentieth anniversary of the publication of the Catechism of the Catholic Church, a text promulgated by my Predecessor, Blessed John Paul II, with a view to illustrating for all the faithful the power and beauty of the faith.
This document, an authentic fruit of the Second Vatican Council, was requested by the Extraordinary Synod of Bishops in 1985 as an instrument at the service of catechesis and it was produced in collaboration with all the bishops of the Catholic Church. Moreover, the theme of the General Assembly of the Synod of Bishops that I have convoked for October 2012 is “The New Evangelization for the Transmission of the Christian Faith”.
This will be a good opportunity to usher the whole Church into a time of particular reflection and rediscovery of the faith.
It is not the first time that the Church has been called to celebrate a Year of Faith. My venerable Predecessor the Servant of God Paul VI announced one in 1967, to commemorate the martyrdom of Saints Peter and Paul on the 19th centenary of their supreme act of witness. He thought of it as a solemn moment for the whole Church to make “an authentic and sincere profession of the same faith”; moreover, he wanted this to be confirmed in a way that was “individual and collective, free and conscious, inward and outward, humble and frank”. He thought that in this way the whole Church could reappropriate “exact knowledge of the faith, so as to reinvigorate it, purify it, confirm it, and confess it”.
The great upheavals of that year made even more evident the need for a celebration of this kind. It concluded with the Credo of the People of God, intended to show how much the essential content that for centuries has formed the heritage of all believers needs to be confirmed, understood and explored ever anew, so as to bear consistent witness in historical circumstances very different from those of the past.
In some respects, my venerable predecessor saw this Year as a “consequence and a necessity of the postconciliar period”, fully conscious of the grave difficulties of the time, especially with regard to the profession of the true faith and its correct interpretation.
It seemed to me that timing the launch of the Year of Faith to coincide with the fiftieth anniversary of the opening of the Second Vatican Council would provide a good opportunity to help people understand that the texts bequeathed by the Council Fathers, in the words of Blessed John Paul II, “have lost nothing of their value or brilliance. They need to be read correctly, to be widely known and taken to heart as important and normative texts of the Magisterium, within the Church's Tradition ... I feel more than ever in duty bound to point to the Council as the great grace bestowed on the Church in the twentieth century: there we find a sure compass by which to take our bearings in the century now beginning.”
I would also like to emphasize strongly what I had occasion to say concerning the Council a few months after my election as Successor of Peter: “if we interpret and implement it guided by a right hermeneutic, it can be and can become increasingly powerful for the ever necessary renewal of the Church.”
The renewal of the Church is also achieved through the witness offered by the lives of believers: by their very existence in the world, Christians are called to radiate the word of truth that the Lord Jesus has left us. The Council itself, in the Dogmatic Constitution Lumen Gentium, said this: While “Christ, ‘holy, innocent and undefiled’ (Heb 7:26) knew nothing of sin (cf. 2 Cor 5:21), but came only to expiate the sins of the people (cf. Heb 2:17)... the Church ... clasping sinners to its bosom, at once holy and always in need of purification, follows constantly the path of penance and renewal. The Church, ‘like a stranger in a foreign land, presses forward amid the persecutions of the world and the consolations of God’, announcing the cross and death of the Lord until he comes (cf. 1 Cor 11:26). But by the power of the risen Lord it is given strength to overcome, in patience and in love, its sorrow and its difficulties, both those that are from within and those that are from without, so that it may reveal in the world, faithfully, although with shadows, the mystery of its Lord until, in the end, it shall be manifested in full light.”
The Year of Faith, from this perspective, is a summons to an authentic and renewed conversion to the Lord, the one Saviour of the world.
In the mystery of his death and resurrection, God has revealed in its fullness the Love that saves and calls us to conversion of life through the forgiveness of sins (cf. Acts 5:31). For Saint Paul, this Love ushers us into a new life: “We were buried ... with him by baptism into death, so that as Christ was raised from the dead by the glory of the Father, we too might walk in newness of life” (Rom 6:4).
Through faith, this new life shapes the whole of human existence according to the radical new reality of the resurrection.
To the extent that he freely cooperates, man’s thoughts and affections, mentality and conduct are slowly purified and transformed, on a journey that is never completely finished in this life. “Faith working through love” (Gal 5:6) becomes a new criterion of understanding and action that changes the whole of man’s life (cf. Rom 12:2; Col 3:9-10; Eph 4:20-29; 2 Cor 5:17).
“Caritas Christi urget nos” (2 Cor 5:14): it is the love of Christ that fills our hearts and impels us to evangelize.
Today as in the past, he sends us through the highways of the world to proclaim his Gospel to all the peoples of the earth (cf. Mt 28:19).
Through his love, Jesus Christ attracts to himself the people of every generation: in every age he convokes the Church, entrusting her with the proclamation of the Gospel by a mandate that is ever new.
Today too, there is a need for stronger ecclesial commitment to new evangelization in order to rediscover the joy of believing and the enthusiasm for communicating the faith. In rediscovering his love day by day, the missionary commitment of believers attains force and vigour that can never fade away.
Faith grows when it is lived as an experience of love received and when it is communicated as an experience of grace and joy. It makes us fruitful, because it expands our hearts in hope and enables us to bear life-giving witness: indeed, it opens the hearts and minds of those who listen to respond to the Lord’s invitation to adhere to his word and become his disciples.
Believers, so Saint Augustine tells us, “strengthen themselves by believing”.
The saintly Bishop of Hippo had good reason to express himself in this way. As we know, his life was a continual search for the beauty of the faith until such time as his heart would find rest in God. His extensive writings, in which he explains the importance of believing and the truth of the faith, continue even now to form a heritage of incomparable riches, and they still help many people in search of God to find the right path towards the “door of faith”.
Only through believing, then, does faith grow and become stronger; there is no other possibility for possessing certitude with regard to one’s life apart from self-abandonment, in a continuous crescendo, into the hands of a love that seems to grow constantly because it has its origin in God.
On this happy occasion, I wish to invite my brother bishops from all over the world to join the Successor of Peter, during this time of spiritual grace that the Lord offers us, in recalling the precious gift of faith. We want to celebrate this Year in a worthy and fruitful manner.
Reflection on the faith will have to be intensified, so as to help all believers in Christ to acquire a more conscious and vigorous adherence to the Gospel, especially at a time of profound change such as humanity is currently experiencing.
We will have the opportunity to profess our faith in the Risen Lord in our cathedrals and in the churches of the whole world; in our homes and among our families, so that everyone may feel a strong need to know better and to transmit to future generations the faith of all times.
Religious communities as well as parish communities, and all ecclesial bodies old and new, are to find a way, during this Year, to make a public profession of the Credo.
We want this Year to arouse in every believer the aspiration to profess the faith in fullness and with renewed conviction, with confidence and hope.
It will also be a good opportunity to intensify the celebration of the faith in the liturgy, especially in the Eucharist, which is “the summit towards which the activity of the Church is directed; ... and also the source from which all its power flows.”
At the same time, we make it our prayer that believers’ witness of life may grow in credibility. To rediscover the content of the faith that is professed, celebrated, lived and prayed, and to reflect on the act of faith, is a task that every believer must make his own, especially in the course of this Year.
Not without reason, Christians in the early centuries were required to learn the creed from memory. It served them as a daily prayer not to forget the commitment they had undertaken in baptism. With words rich in meaning, Saint Augustine speaks of this in a homily on the redditio symboli, the handing over of the creed: “the symbol of the holy mystery that you have all received together and that today you have recited one by one, are the words on which the faith of Mother Church is firmly built above the stable foundation that is Christ the Lord. You have received it and recited it, but in your minds and hearts you must keep it ever present, you must repeat it in your beds, recall it in the public squares and not forget it during meals: even when your body is asleep, you must watch over it with your hearts.”
At this point I would like to sketch a path intended to help us understand more profoundly not only the content of the faith, but also the act by which we choose to entrust ourselves fully to God, in complete freedom.
In fact, there exists a profound unity between the act by which we believe and the content to which we give our assent. Saint Paul helps us to enter into this reality when he writes: “Man believes with his heart and so is justified, and he confesses with his lips and so is saved” (Rom 10:10).
The heart indicates that the first act by which one comes to faith is God’s gift and the action of grace which acts and transforms the person deep within.
The example of Lydia is particularly eloquent in this regard. Saint Luke recounts that, while he was at Philippi, Paul went on the Sabbath to proclaim the Gospel to some women; among them was Lydia and “the Lord opened her heart to give heed to what was said by Paul” (Acts 16:14). There is an important meaning contained within this expression.
Saint Luke teaches that knowing the content to be believed is not sufficient unless the heart, the authentic sacred space within the person, is opened by grace that allows the eyes to see below the surface and to understand that what has been proclaimed is the word of God.
Confessing with the lips indicates in turn that faith implies public testimony and commitment. A Christian may never think of belief as a private act. Faith is choosing to stand with the Lord so as to live with him.
This “standing with him” points towards an understanding of the reasons for believing. Faith, precisely because it is a free act, also demands social responsibility for what one believes.
The Church on the day of Pentecost demonstrates with utter clarity this public dimension of believing and proclaiming one’s faith fearlessly to every person. It is the gift of the Holy Spirit that makes us fit for mission and strengthens our witness, making it frank and courageous.
Profession of faith is an act both personal and communitarian. It is the Church that is the primary subject of faith. In the faith of the Christian community, each individual receives baptism, an effective sign of entry into the people of believers in order to obtain salvation.
As we read in the Catechism of the Catholic Church: “‘I believe’ is the faith of the Church professed personally by each believer, principally during baptism. ‘We believe’ is the faith of the Church confessed by the bishops assembled in council or more generally by the liturgical assembly of believers. ‘I believe’ is also the Church, our mother, responding to God by faith as she teaches us to say both ‘I believe’ and ‘we believe’.”
Evidently, knowledge of the content of faith is essential for giving one’s own assent, that is to say for adhering fully with intellect and will to what the Church proposes. Knowledge of faith opens a door into the fullness of the saving mystery revealed by God. The giving of assent implies that, when we believe, we freely accept the whole mystery of faith, because the guarantor of its truth is God who reveals himself and allows us to know his mystery of love.
On the other hand, we must not forget that in our cultural context, very many people, while not claiming to have the gift of faith, are nevertheless sincerely searching for the ultimate meaning and definitive truth of their lives and of the world. This search is an authentic “preamble” to the faith, because it guides people onto the path that leads to the mystery of God. Human reason, in fact, bears within itself a demand for “what is perennially valid and lasting”. This demand constitutes a permanent summons, indelibly written into the human heart, to set out to find the One whom we would not be seeking had he not already set out to meet us. To this encounter, faith invites us and it opens us in fullness.
In order to arrive at a systematic knowledge of the content of the faith, all can find in the Catechism of the Catholic Church a precious and indispensable tool. It is one of the most important fruits of the Second Vatican Council. In the Apostolic Constitution Fidei Depositum, signed, not by accident, on the thirtieth anniversary of the opening of the Second Vatican Council, Blessed John Paul II wrote: “this catechism will make a very important contribution to that work of renewing the whole life of the Church ... I declare it to be a valid and legitimate instrument for ecclesial communion and a sure norm for teaching the faith.”
It is in this sense that that the Year of Faith will have to see a concerted effort to rediscover and study the fundamental content of the faith that receives its systematic and organic synthesis in the Catechism of the Catholic Church.
Here, in fact, we see the wealth of teaching that the Church has received, safeguarded and proposed in her two thousand years of history. From Sacred Scripture to the Fathers of the Church, from theological masters to the saints across the centuries, the Catechism provides a permanent record of the many ways in which the Church has meditated on the faith and made progress in doctrine so as to offer certitude to believers in their lives of faith.
In its very structure, the Catechism of the Catholic Church follows the development of the faith right up to the great themes of daily life. On page after page, we find that what is presented here is no theory, but an encounter with a Person who lives within the Church. The profession of faith is followed by an account of sacramental life, in which Christ is present, operative and continues to build his Church. Without the liturgy and the sacraments, the profession of faith would lack efficacy, because it would lack the grace which supports Christian witness. By the same criterion, the teaching of the Catechism on the moral life acquires its full meaning if placed in relationship with faith, liturgy and prayer.
In this Year, then, the Catechism of the Catholic Church will serve as a tool providing real support for the faith, especially for those concerned with the formation of Christians, so crucial in our cultural context. To this end, I have invited the Congregation for the Doctrine of the Faith, by agreement with the competent Dicasteries of the Holy See, to draw up a Note, providing the Church and individual believers with some guidelines on how to live this Year of Faith in the most effective and appropriate ways, at the service of belief and evangelization.
To a greater extent than in the past, faith is now being subjected to a series of questions arising from a changed mentality which, especially today, limits the field of rational certainties to that of scientific and technological discoveries. Nevertheless, the Church has never been afraid of demonstrating that there cannot be any conflict between faith and genuine science, because both, albeit via different routes, tend towards the truth.
13. One thing that will be of decisive importance in this Year is retracing the history of our faith, marked as it is by the unfathomable mystery of the interweaving of holiness and sin. While the former highlights the great contribution that men and women have made to the growth and development of the community through the witness of their lives, the latter must provoke in each person a sincere and continuing work of conversion in order to experience the mercy of the Father which is held out to everyone.
During this time we will need to keep our gaze fixed upon Jesus Christ, the “pioneer and perfecter of our faith” (Heb 12:2): in him, all the anguish and all the longing of the human heart finds fulfilment. The joy of love, the answer to the drama of suffering and pain, the power of forgiveness in the face of an offence received and the victory of life over the emptiness of death: all this finds fulfilment in the mystery of his Incarnation, in his becoming man, in his sharing our human weakness so as to transform it by the power of his resurrection.
In him who died and rose again for our salvation, the examples of faith that have marked these two thousand years of our salvation history are brought into the fullness of light.
By faith, Mary accepted the Angel’s word and believed the message that she was to become the Mother of God in the obedience of her devotion (cf. Lk 1:38). Visiting Elizabeth, she raised her hymn of praise to the Most High for the marvels he worked in those who trust him (cf. Lk 1:46-55). With joy and trepidation she gave birth to her only son, keeping her virginity intact (cf. Lk 2:6-7). Trusting in Joseph, her husband, she took Jesus to Egypt to save him from Herod’s persecution (cf. Mt 2:13-15). With the same faith, she followed the Lord in his preaching and remained with him all the way to Golgotha (cf. Jn 19:25-27).
By faith, Mary tasted the fruits of Jesus’ resurrection, and treasuring every memory in her heart (cf. Lk 2:19, 51), she passed them on to the Twelve assembled with her in the Upper Room to receive the Holy Spirit (cf. Acts 1:14; 2:1-4).
By faith, the Apostles left everything to follow their Master (cf. Mk 10:28). They believed the words with which he proclaimed the Kingdom of God present and fulfilled in his person (cf. Lk 11:20). They lived in communion of life with Jesus who instructed them with his teaching, leaving them a new rule of life, by which they would be recognized as his disciples after his death (cf. Jn 13:34-35).
By faith, they went out to the whole world, following the command to bring the Gospel to all creation (cf. Mk 16:15) and they fearlessly proclaimed to all the joy of the resurrection, of which they were faithful witnesses.
By faith, the disciples formed the first community, gathered around the teaching of the Apostles, in prayer, in celebration of the Eucharist, holding their possessions in common so as to meet the needs of the brethren (cf. Acts 2:42-47).By faith, the martyrs gave their lives, bearing witness to the truth of the Gospel that had transformed them and made them capable of attaining to the greatest gift of love: the forgiveness of their persecutors.
By faith, men and women have consecrated their lives to Christ, leaving all things behind so as to live obedience, poverty and chastity with Gospel simplicity, concrete signs of waiting for the Lord who comes without delay.
By faith, countless Christians have promoted action for justice so as to put into practice the word of the Lord, who came to proclaim deliverance from oppression and a year of favour for all (cf. Lk 4:18-19).
By faith, across the centuries, men and women of all ages, whose names are written in the Book of Life (cf. Rev 7:9, 13:8), have confessed the beauty of following the Lord Jesus wherever they were called to bear witness to the fact that they were Christian: in the family, in the workplace, in public life, in the exercise of the charisms and ministries to which they were called.
By faith, we too live: by the living recognition of the Lord Jesus, present in our lives and in our history.
14. The Year of Faith will also be a good opportunity to intensify the witness of charity. As Saint Paul reminds us: “So faith, hope, love abide, these three; but the greatest of these is love” (1 Cor 13:13).
With even stronger words – which have always placed Christians under obligation – Saint James said: “What does it profit, my brethren, if a man says he has faith but has not works? Can his faith save him? If a brother or sister is ill-clad and in lack of daily food, and one of you says to them, ‘Go in peace, be warmed and filled’, without giving them the things needed for the body, what does it profit? So faith by itself, if it has no works, is dead. But some one will say, ‘You have faith and I have works.’ Show me your faith apart from your works, and I by my works will show you my faith” (Jas 2:14-18).
Faith without charity bears no fruit, while charity without faith would be a sentiment constantly at the mercy of doubt. Faith and charity each require the other, in such a way that each allows the other to set out along its respective path.
Indeed, many Christians dedicate their lives with love to those who are lonely, marginalized or excluded, as to those who are the first with a claim on our attention and the most important for us to support, because it is in them that the reflection of Christ’s own face is seen.
Through faith, we can recognize the face of the risen Lord in those who ask for our love. “As you did it to one of the least of these my brethren, you did it to me” (Mt 25:40).
These words are a warning that must not be forgotten and a perennial invitation to return the love by which he takes care of us.
It is faith that enables us to recognize Christ and it is his love that impels us to assist him whenever he becomes our neighbour along the journey of life.
Supported by faith, let us look with hope at our commitment in the world, as we await “new heavens and a new earth in which righteousness dwells” (2 Pet 3:13; cf. Rev 21:1).
Having reached the end of his life, Saint Paul asks his disciple Timothy to “aim at faith” (2 Tim 2:22) with the same constancy as when he was a boy (cf. 2 Tim 3:15). We hear this invitation directed to each of us, that none of us grow lazy in the faith. It is the lifelong companion that makes it possible to perceive, ever anew, the marvels that God works for us. Intent on gathering the signs of the times in the present of history, faith commits every one of us to become a living sign of the presence of the Risen Lord in the world. What the world is in particular need of today is the credible witness of people enlightened in mind and heart by the word of the Lord, and capable of opening the hearts and minds of many to the desire for God and for true life, life without end.
“That the word of the Lord may speed on and triumph” (2 Th 3:1): may this Year of Faith make our relationship with Christ the Lord increasingly firm, since only in him is there the certitude for looking to the future and the guarantee of an authentic and lasting love. The words of Saint Peter shed one final ray of light on faith: “In this you rejoice, though now for a little while you may have to suffer various trials, so that the genuineness of your faith, more precious than gold which though perishable is tested by fire, may redound to praise and glory and honour at the revelation of Jesus Christ. Without having seen him you love him; though you do not now see him you believe in him and rejoice with unutterable and exalted joy. As the outcome of your faith you obtain the salvation of your souls” (1 Pet 1:6-9).
The life of Christians knows the experience of joy as well as the experience of suffering. How many of the saints have lived in solitude! How many believers, even in our own day, are tested by God’s silence when they would rather hear his consoling voice!
The trials of life, while helping us to understand the mystery of the Cross and to participate in the sufferings of Christ (cf. Col 1:24), are a prelude to the joy and hope to which faith leads: “when I am weak, then I am strong” (2 Cor 12:10).
We believe with firm certitude that the Lord Jesus has conquered evil and death. With this sure confidence we entrust ourselves to him: he, present in our midst, overcomes the power of the evil one (cf. Lk 11:20); and the Church, the visible community of his mercy, abides in him as a sign of definitive reconciliation with the Father.
Let us entrust this time of grace to the Mother of God, proclaimed “blessed because she believed” (Lk 1:45).
Given in Rome, at Saint Peter’s, on 11 October in the year 2011, the seventh of my Pontificate.
BENEDICTUS PP. XVI
By Iside Vatican
04.01.12
25.11.11
“เครื่องหมายแห่งรักของพระเจ้า”
ความรักเปลี่ยนชีวิตประจำวัน
ความรักของพระเจ้ามีอำนาจเปลี่ยนแปลง ทำให้มีใจกว้างที่จะตอบสนองความรักของพระองค์อย่างสิ้นสุดใจ และรักผู้อื่นมากกว่าตนเอง ปลุกปั้นหัวใจของเราให้รัก ไม่เพียงแต่เมื่อรู้สึกบรรเทาใจ แต่รักแม้มีความโศกเศร้า รักด้วยความรักที่เห็นอกเห็นใจ ใจดี ชื่นชม พิศเพ่งรำพึงและเอาใจใส่
ความศักดิ์สิทธิ์คือ ความรักของพระเจ้าที่ได้รับการยอมรับ และตอบสนอง ทำให้เกิดความพากเพียร การยินยอม ความอ่อนหวาน ความคุ้นเคย ความร้อนรน และไม่เคยพูดคำว่า..พอแล้ว เป็นความรักที่สุภาพ และเบิกบาน ทำให้เกิดการตัดสินใจ ที่จะกลับใจไปหาพระวรสารทุกวัน ด้วยการเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อสิ่งที่อาศัยอยู่ในหัวใจ ได้แก่ ความปรารถนา ความโอนเอียง ความเสแสร้ง เพราะหัวใจคือบ่อเกิดของกิจการ และกิจการก็แสดงออกอย่างที่หัวใจเป็น ความรักนี้ช่วยให้เรายอมรับตนเอง และผู้อื่นได้อย่างเบิกบาน ทำให้เราภูมิใจ สิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราทำ “อย่าปรารถนาสิ่งที่เธอไม่เป็นเลย แต่จงปรารถนาสิ่งที่เธอเป็นให้มาก”
เมื่อมองเช่นนี้ได้ ก็จะทำให้เรากล้าเผชิญกับหน้าที่ประจำวัน ด้วยความเอาใจใส่ ไร้ความกังวลหรือเร่งรีบทำ จงรักสิ่งที่พระเจ้ารัก เดินไปข้างหน้าอย่างเบิกบาน โดยวางใจในพระญาณเอื้ออาทรของพระบิดา ซึ่งทรงเอาใจใส่เรา วันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป
ด้วยความมั่นใจนี้ เราจึงสามารถดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย และไว้ใจนั่นคือ “จงทำเหมือนเด็กๆ ที่ใช้มือหนึ่งจับพ่อไว้แน่น ส่วนอีกมือหนึ่งเก็บลูกเชอรี่ และผลไม้ป่ากัดกินไปตามทาง เช่นเดียวกันในขณะที่มือหนึ่งทำความดีอยู่ในโลก อีกมือหนึ่งต้องจับพระหัตถ์พระบิดาเจ้าสวรรค์ไว้ให้มั่น และค่อยๆ เงยหน้ามองพระองค์บ่อยๆ เพื่อดูว่าสิ่งที่ทำอยู่ พระองค์พอพระทัยหรือไม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมองให้ดีว่า..เราได้ละมือของเราจากพระองค์หรือไม่ และคิดว่าจะพยายามเก็บให้ได้มากกว่า ถ้าวันใดพระองค์เกิดทิ้งเธอไปเธอคงจะต้องหมดแรงล้มลงและเดินต่อไปไม่ได้อีก”
พระบิดาไม่ทรงทอดทิ้ง พระองค์จะประทานความกล้าหาญให้เธอ สามารถอดทนสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน “ไม่มีกระแสเรียกใดที่ไม่พบกับความเบื่อหน่าย ความขมขื่น และความลำบากของมัน” ความรักของพระเจ้าช่วยให้ใจพร้อม และยอมรับพระวาจาของพระองค์ ที่เทศน์สอน ที่หว่าน และที่ประกาศ ช่วยให้ดวงตาสว่าง และสดใส สามารถเห็นมนุษย์ทุกคนเป็นฉายาของพระผู้สร้าง: “โลกที่มาจากพระวาจาของพระเจ้า ก็จะแสดงพระวาจานั้นทั่วทุกทิศทุกทาง ทุกส่วนของโลกจะขับเพลงสรรเสริญพระเจ้า เป็นหนังสือที่บรรจุพระวาจาของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าใจ ผู้ที่สามารถเข้าใจ คงเป็นเพราะการรำพึงที่ดีจริงๆ อย่างที่นักบุญอันตนได้ทำ ท่านจึงไม่มีห้องสมุดใดอื่นอีก”
การจมอยู่ในความรักนี้ ทำให้เรามุ่งไปหาพระเจ้าพระผู้สร้างอยู่ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นองค์ความดีสูงสุด และสัมผัสชีวิตในทุกมิติ: “โอ บทเทศน์อะไรเช่นนี้ เขาห้ามเธอไม่ให้สนใจกับความยินดีของโลก อาหารทุกชนิด รอยยิ้ม การเอาใจใส่สมบัติชั่วคราวในโลก เขาอยากให้เธออยู่ในวัดทั้งวัน อดอาหารตลอดเวลา อา! ผู้ทรยศของมนุษย์! แต่เราจะไม่พูดเช่นนี้ จงสนองตัวเธอด้วยความสุขทุกชนิด แต่ขอให้เป็นความสุขที่ไม่มีบาป” ในชีวิตจริงประจำวันที่เราดำเนินชีวิตทำงานหนัก เอาจริงเอาจัง และพอประมาณ “ความพอประมาณที่สม่ำเสมอ และสำรวมตน ดีกว่าการอดอย่างรุนแรง ที่ทำเป็นบางครั้งบางคราว”
มุ่งไปสู่ชีวิต..ที่เสียสละ
ประสบการณ์แห่งความรักห่วงใยของพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของความเป็นหนึ่ง และการแพร่ธรรมที่กล้าหาญ กระตุ้นให้ก้าวไปสู่ภารกิจใหม่ๆ ในประสบการณ์แห่งความรักนี้ เราดำเนินชีวิตจิตประจำวันแบบมุ่งไปสู่ความรักอยู่ตลอดเวลา ความรักต่อพระ และความรักต่อพี่น้องชาย-หญิง ความรักที่ทำให้เกิดความกระหายที่จะอยู่กับเยาวชน
นี่แหละคือการพิศเพ่งตามที่นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ ได้กล่าวไว้ คุณพ่อบอสโก และมาเรีย มัสซาแรลโลเองก็ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว นั่นคือ การออกจากตนเอง เพื่อยอมรับ และตอบสนองความรักของพระเจ้า โดยเปิดจิตใจของตนให้รักผู้อื่นมากขึ้น ดังคำเชิญของพระอาจารย์เจ้าที่ว่า “จงรักกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักท่าน”
ถ้าความรักของพระเจ้าหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม ก็จำเป็นที่จะต้องแสดงออกมาในความรักต่อเพื่อนมนุษย์ สำหรับนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ ขอบเขตของความรักพระเจ้าก็คือ รักพระองค์อย่างไม่มีขอบเขต และขอบเขตนี้ ก็ใช้กับความรักต่อเพื่อนมนุษย์เหมือนกัน เพราะความรักของพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่เหนือสิ่งใด และมาเป็นอันดับแรกเสมอ ความรักของพระเจ้าและความรักของเพื่อนมนุษย์แยกกันไม่ออก ยิ่งกว่านั้น ถ้าใครยืนยันว่า..เขารักพระเจ้า แต่ไม่รักเพื่อนมนุษย์ เขาก็โกหก เพราะหัวใจของเขาปิดต่อผู้อื่น ความรักต่อเพื่อนมนุษย์คือ หนทางเพื่อพบปะกับพระเจ้า
ภารกิจท่ามกลางเยาวชน การรับใช้พี่น้องชาย-หญิงคือ สถานที่แห่งการพบปะกับพระเจ้า และการพบปะกับพระเจ้าในพระวาจา ในศีลมหาสนิท ในการภาวนา และในหมู่คณะที่กล้าออกไปแพร่ธรรม นี่คือความหมายของ Da mihi animas ที่นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ และคุณพ่อบอสโกได้ทำประสบการณ์มาแล้ว เป็นความรักที่ร้อนรน ยิ่งกว่านั้นเป็นความรักที่ลุกร้อน “ความรักร้อนรนของพระเจ้านี้คือ ความรัก ก่อให้เกิดงานแพร่ธรรมมากมาย ซึ่งบรรดานักบุญกล้าเสี่ยงกับทุกคน ความรักที่ทำให้ตื่น ทำงาน และยอมตายเพื่อรับใช้พระเจ้า ท่ามกลางเปลวไฟที่ร้อนรน และทำให้เขาหมดกำลังลง”…
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=336078
17.08.11
today.
เหนื่อยอย่างประหลาด สงสัยแก่แล้ว ไม่ไหวจริงๆ วันนี้ที่นี่จัดงานวิทย์ศาสตร์ ตกบ่ายข้าพเจ้าไปบ้านเด็ก บริจาคเงินนิดหน่อย ส่วนครูสองคาบสุดท้ายไม่อยู่เลยว่างอ่านการ์ตูนและนอนเล่น
Abonnieren
Posts (Atom)