25.11.11

“เครื่องหมายแห่งรักของพระเจ้า”



ความรักเปลี่ยนชีวิตประจำวัน

ความรักของพระเจ้ามีอำนาจเปลี่ยนแปลง ทำให้มีใจกว้างที่จะตอบสนองความรักของพระองค์อย่างสิ้นสุดใจ และรักผู้อื่นมากกว่าตนเอง ปลุกปั้นหัวใจของเราให้รัก ไม่เพียงแต่เมื่อรู้สึกบรรเทาใจ แต่รักแม้มีความโศกเศร้า รักด้วยความรักที่เห็นอกเห็นใจ ใจดี ชื่นชม พิศเพ่งรำพึงและเอาใจใส่



ความศักดิ์สิทธิ์คือ ความรักของพระเจ้าที่ได้รับการยอมรับ และตอบสนอง ทำให้เกิดความพากเพียร การยินยอม ความอ่อนหวาน ความคุ้นเคย ความร้อนรน และไม่เคยพูดคำว่า..พอแล้ว เป็นความรักที่สุภาพ และเบิกบาน ทำให้เกิดการตัดสินใจ ที่จะกลับใจไปหาพระวรสารทุกวัน ด้วยการเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อสิ่งที่อาศัยอยู่ในหัวใจ ได้แก่ ความปรารถนา ความโอนเอียง ความเสแสร้ง เพราะหัวใจคือบ่อเกิดของกิจการ และกิจการก็แสดงออกอย่างที่หัวใจเป็น ความรักนี้ช่วยให้เรายอมรับตนเอง และผู้อื่นได้อย่างเบิกบาน ทำให้เราภูมิใจ สิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราทำ “อย่าปรารถนาสิ่งที่เธอไม่เป็นเลย แต่จงปรารถนาสิ่งที่เธอเป็นให้มาก”



เมื่อมองเช่นนี้ได้ ก็จะทำให้เรากล้าเผชิญกับหน้าที่ประจำวัน ด้วยความเอาใจใส่ ไร้ความกังวลหรือเร่งรีบทำ จงรักสิ่งที่พระเจ้ารัก เดินไปข้างหน้าอย่างเบิกบาน โดยวางใจในพระญาณเอื้ออาทรของพระบิดา ซึ่งทรงเอาใจใส่เรา วันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป



ด้วยความมั่นใจนี้ เราจึงสามารถดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย และไว้ใจนั่นคือ “จงทำเหมือนเด็กๆ ที่ใช้มือหนึ่งจับพ่อไว้แน่น ส่วนอีกมือหนึ่งเก็บลูกเชอรี่ และผลไม้ป่ากัดกินไปตามทาง เช่นเดียวกันในขณะที่มือหนึ่งทำความดีอยู่ในโลก อีกมือหนึ่งต้องจับพระหัตถ์พระบิดาเจ้าสวรรค์ไว้ให้มั่น และค่อยๆ เงยหน้ามองพระองค์บ่อยๆ เพื่อดูว่าสิ่งที่ทำอยู่ พระองค์พอพระทัยหรือไม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมองให้ดีว่า..เราได้ละมือของเราจากพระองค์หรือไม่ และคิดว่าจะพยายามเก็บให้ได้มากกว่า ถ้าวันใดพระองค์เกิดทิ้งเธอไปเธอคงจะต้องหมดแรงล้มลงและเดินต่อไปไม่ได้อีก”



พระบิดาไม่ทรงทอดทิ้ง พระองค์จะประทานความกล้าหาญให้เธอ สามารถอดทนสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน “ไม่มีกระแสเรียกใดที่ไม่พบกับความเบื่อหน่าย ความขมขื่น และความลำบากของมัน” ความรักของพระเจ้าช่วยให้ใจพร้อม และยอมรับพระวาจาของพระองค์ ที่เทศน์สอน ที่หว่าน และที่ประกาศ ช่วยให้ดวงตาสว่าง และสดใส สามารถเห็นมนุษย์ทุกคนเป็นฉายาของพระผู้สร้าง: “โลกที่มาจากพระวาจาของพระเจ้า ก็จะแสดงพระวาจานั้นทั่วทุกทิศทุกทาง ทุกส่วนของโลกจะขับเพลงสรรเสริญพระเจ้า เป็นหนังสือที่บรรจุพระวาจาของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าใจ ผู้ที่สามารถเข้าใจ คงเป็นเพราะการรำพึงที่ดีจริงๆ อย่างที่นักบุญอันตนได้ทำ ท่านจึงไม่มีห้องสมุดใดอื่นอีก”



การจมอยู่ในความรักนี้ ทำให้เรามุ่งไปหาพระเจ้าพระผู้สร้างอยู่ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นองค์ความดีสูงสุด และสัมผัสชีวิตในทุกมิติ: “โอ บทเทศน์อะไรเช่นนี้ เขาห้ามเธอไม่ให้สนใจกับความยินดีของโลก อาหารทุกชนิด รอยยิ้ม การเอาใจใส่สมบัติชั่วคราวในโลก เขาอยากให้เธออยู่ในวัดทั้งวัน อดอาหารตลอดเวลา อา! ผู้ทรยศของมนุษย์! แต่เราจะไม่พูดเช่นนี้ จงสนองตัวเธอด้วยความสุขทุกชนิด แต่ขอให้เป็นความสุขที่ไม่มีบาป” ในชีวิตจริงประจำวันที่เราดำเนินชีวิตทำงานหนัก เอาจริงเอาจัง และพอประมาณ “ความพอประมาณที่สม่ำเสมอ และสำรวมตน ดีกว่าการอดอย่างรุนแรง ที่ทำเป็นบางครั้งบางคราว”


มุ่งไปสู่ชีวิต..ที่เสียสละ
ประสบการณ์แห่งความรักห่วงใยของพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของความเป็นหนึ่ง และการแพร่ธรรมที่กล้าหาญ กระตุ้นให้ก้าวไปสู่ภารกิจใหม่ๆ ในประสบการณ์แห่งความรักนี้ เราดำเนินชีวิตจิตประจำวันแบบมุ่งไปสู่ความรักอยู่ตลอดเวลา ความรักต่อพระ และความรักต่อพี่น้องชาย-หญิง ความรักที่ทำให้เกิดความกระหายที่จะอยู่กับเยาวชน

นี่แหละคือการพิศเพ่งตามที่นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ ได้กล่าวไว้ คุณพ่อบอสโก และมาเรีย มัสซาแรลโลเองก็ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว นั่นคือ การออกจากตนเอง เพื่อยอมรับ และตอบสนองความรักของพระเจ้า โดยเปิดจิตใจของตนให้รักผู้อื่นมากขึ้น ดังคำเชิญของพระอาจารย์เจ้าที่ว่า “จงรักกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักท่าน”

ถ้าความรักของพระเจ้าหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม ก็จำเป็นที่จะต้องแสดงออกมาในความรักต่อเพื่อนมนุษย์ สำหรับนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ ขอบเขตของความรักพระเจ้าก็คือ รักพระองค์อย่างไม่มีขอบเขต และขอบเขตนี้ ก็ใช้กับความรักต่อเพื่อนมนุษย์เหมือนกัน เพราะความรักของพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่เหนือสิ่งใด และมาเป็นอันดับแรกเสมอ ความรักของพระเจ้าและความรักของเพื่อนมนุษย์แยกกันไม่ออก ยิ่งกว่านั้น ถ้าใครยืนยันว่า..เขารักพระเจ้า แต่ไม่รักเพื่อนมนุษย์ เขาก็โกหก เพราะหัวใจของเขาปิดต่อผู้อื่น ความรักต่อเพื่อนมนุษย์คือ หนทางเพื่อพบปะกับพระเจ้า

ภารกิจท่ามกลางเยาวชน การรับใช้พี่น้องชาย-หญิงคือ สถานที่แห่งการพบปะกับพระเจ้า และการพบปะกับพระเจ้าในพระวาจา ในศีลมหาสนิท ในการภาวนา และในหมู่คณะที่กล้าออกไปแพร่ธรรม นี่คือความหมายของ Da mihi animas ที่นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ และคุณพ่อบอสโกได้ทำประสบการณ์มาแล้ว เป็นความรักที่ร้อนรน ยิ่งกว่านั้นเป็นความรักที่ลุกร้อน “ความรักร้อนรนของพระเจ้านี้คือ ความรัก ก่อให้เกิดงานแพร่ธรรมมากมาย ซึ่งบรรดานักบุญกล้าเสี่ยงกับทุกคน ความรักที่ทำให้ตื่น ทำงาน และยอมตายเพื่อรับใช้พระเจ้า ท่ามกลางเปลวไฟที่ร้อนรน และทำให้เขาหมดกำลังลง”…

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=336078

17.08.11

today.

เหนื่อยอย่างประหลาด สงสัยแก่แล้ว ไม่ไหวจริงๆ วันนี้ที่นี่จัดงานวิทย์ศาสตร์ ตกบ่ายข้าพเจ้าไปบ้านเด็ก บริจาคเงินนิดหน่อย ส่วนครูสองคาบสุดท้ายไม่อยู่เลยว่างอ่านการ์ตูนและนอนเล่น

03.08.11

บันทึกของข้าพเจ้า

ความรักมั่นคงของพระบิดาดำรงเป็นนิจนิรันดร์
4-8-2011
ชีวิตของข้าพเจ้าส่วนใหญ่ของข้าพเจ้าในช่วงนี้มีทั้งเรื่องแปลกๆน่าสนใจ บางทีก็เงียบอย่างประหลาด ราวกับพระระงับงานของเราไว้ช่วงหนึ่ง เพื่อให้ข้าพเจ้ามีโอกาสพักผ่อนตามฉบับ School Girl นับว่าควรของคุณพระองค์ โดยหลังจากที่ข้าพเจ้าออกจากสภาซีโมน (เรียกชื่อยาวๆเขาซะเสียหมด) ข้าพเจ้าไม่มีงานรัดตัวเหมือนตอนที่ยังเสนองานกับพ่อคนเดิม ข้าพเจ้าจะส่งเมล์บอกจำนวนสมาชิกที่ต้องการเข้าร่วมด้วย รายชื่อและรายระเอียดทุกครั้งที่พบกับท่าน... แต่คราวนี้ไม่มีอีกแล้ว เรากลับไม่เจอหน้าพ่อคนนั้นอีกหลังจากเรื่องนั้น ข้าพเจ้าเลือกถูกข้างแล้ว เลือกจะอยู่ท่านที่ดีกว่าจะยอมเข้าไปมีส่วนกับเทีย ดั๊กลาส ข้าพเจ้าไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่า้เธอจะสร้างปัญหาอะไรเพิ่มหลังจากเรื่องครั้งนี้ บางทีคนเราก็ต้องฟังและคิดบ้าง จากความคิดของข้าพเจ้า เทียเป็นคนน่าหลงใหลและเปี่ยมด้วยความรู้ที่มากกว่าข้าพเจ้า แต่เธอพยามมากเกินไป อยากเป็นสิ่งที่เธอยังเป็นไม่ได้
"หากข้าำพเจ้าอยากจะเป็นโป๊ปข้าพเจ้าก็จะเป็นได้หรอ ข้าพเจ้าจะยอมให้คนมากมายคุกเข่าลงขอพรจากข้าพเจ้าหรอ?"...โดยที่ข้าพเจ้าไม่มีพลังอะไรที่จะมอบให้พวกเขา ดังนั้นผู้ที่ก้าวเข้ามาในตำแหน่งนั้น สิ่งของพวกนั้นก็ไม่มีความหมายอะไรเลยกับความพยายามทั้งหมด...เพราะไม่ใช่พระที่เลือกเธอ แต่เป็นการช่วงชิงตำแหน่งที่ผู้อื่นที่ได้รับเลือกควรได้มาด้วยความชอบธรรมและการโกหก



ข้าพเจ้าเปลี่ยนไปใช้ชีวิตในที่ที่มีความสงบ ละทิ้งหอวังนนท์ ข้าพเจ้ามีความสุขกับความสงบและเพื่อนที่น้อยลง รวมทั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกภายในเดือนหรือสองเดือนหน้า ข้าพเจ้าต้องเตรียมแผนขนานใหญ่เอาไว้ออตตาวิโอ้เป็นคนฉลาดเกินกว่าจะอยู่กับความล่าช้า ข้าพเจ้ายังติดใจถึงเรื่องงบประมาณและนโยบาย ทางที่ดีเราควรหานักบัญชีไว้ทันทีที่มีโอกาส เพราะทุกอย่างจะได้ลงตัวพอดี


สำหรับเรื่องงบประมาณ ข้าพเจ้าคิดว่าควรพูดกับออตตาวิโออีกรอบ เพื่อความแน่ใจ เพราะทุกอย่างต้องมีความแม่นยำและถูกต้อง ส่วนเรื่องที่เหลือเป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร (อ้าว ก็เราด้วยนี่หว่า) อีกเรื่อง เรื่องหลักความเชื่อ เราจะลอกเซ็นต์จอห์นมาเลยหรอ หรือควรมีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของคนไทยดี? และมองดูกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่เราปฏิบัติกันมาแล้วมาปรับให้เข้ากับทวีปเอเซีย รวมทั้งบทสวดประจำวัน

19.04.11

อาหารค่ำมื้อ (เกือบสุดท้าย)



โดยปกติแล้วอาหารค่ำของพระคุณเจ้าลูแรนสุดหล่อของเราจะเป็นแบบเรียบๆ กินแล้วไขมันไม่ค่อยเยอะ.... แต่เวลามีคนมาเยี่ยมบ้านทั้งที...ยังไงได้ล่ะลูก...เลยออกมาหน้าตาอย่างงี้... พระเอกอย่างพ่อลูแรนเลยถูกถีบมาเป็นพระรองข้างโต๊ะแทน...ส่วนโค้กซีโรที่ท่านโปรดปรานเลยถูกโกยลงจากโต๊ะไปด้วยเหตุผลสองประการ...หนึ่ง..หมอบอกว่าไม่ดี อย่ากินบ่อย...กับสองบอกไม่ใช่งานฉลอง กินแล้วรสชาติอาหารหายไปหมด....(เห็นอย่างงี้แต่ความจริงก็อยากกินใจจะขาด)...บนโต๊ะวันนี้เลยมีแต่น้ำส้มขวด พ่อบอกอนาถาดีแท้....เป็นคนเยอรมันจะนั่งซดน้ำโค้กเฮือกๆต่อหน้าแขกก็เห็นจะไม่ไหว...



สงสัยวันนี้ตารีโม่จะหนักหน่อย...ช่วยถ่ายดีๆทีดิ...ดูเข้า สภาพรูป...ออกมายังกะวิญญาณกันทุกคน



ประตูเปิดออกพร้อมแขกที่มาเยี่ยม ท่าทางเพิ่งตื่นนอน...



มองภาพแรกไม่รู้ ดูอีกภาพดิ...แต่... เอ่อ...วันนี้เสื้อพ่อจ๊าบดีนะ



หันมาปุ๊บ..ริโม่จัดปั๊บ...




ปล.ถึงแม้งานนี้เขาจะหนักหน่อย แต่เท่าที่เห็นเขายังพยายามทำหน้าที่ แต่งานหน้าถ่ายให้ชัดทีนะ ท่านลูแรนยังผี...ดูๆแล้วดูท่านจะผอมไปนะ...เข้ากับรูปซะไม่มี.

Generalversmmlung dr UKK




























วันยืดเส้นของพ่อลูแรนและคณะ - 14 April 2011